แก้วหน้าม้า
นางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา
เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำแก้วมาให้
พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า “แก้ว” แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า
ชาวบ้านเรียกว่า นางแก้วหน้าม้า
นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา
และมีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝน จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เมื่อเก็บว่าวจุฬาได้
นางแก้วดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน
นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี
พระปิ่นรับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืน รออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ
นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟัง และขอให้ไปทวงสัญญา
เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร
แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข
เมื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง
ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป
จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง พอมาถึงวังหลวง
ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด
กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู
นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว
โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร
แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง นางแก้วออกไปตามป่า
เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง
ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน
พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้
นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา
แล้วเสกหนังสือเป็นเรือเหาะให้ลำหนึ่งพร้อมมอบอีโต้ไว้เป็นอาวุธ
นางแก้วจึงสามารถไปยกเขาพระสุเมรุมาถวายท้าวภูวดลได้สำเร็จ
ท้าวภูวดลพยายามหาหนทางที่จะเลี่ยงคำสัญญาเลยมอบให้พระปิ่นทองเดินทางไปอภิเษกกับเจ้าหญิงทัศมาลี
ราชธิดาของท้าวพรหมทัต ก่อนเดินทางไป พระปิ่นทองกล่าวว่า
ถ้ากลับมานางยังไม่มีลูกจะถูกประหาร
นางแก้วนั่งเรือเหาะตามพระปิ่นทองไปแล้วถอดหน้าม้าออก
ไปขออาศัยอยู่กับสองตายายในป่า เมื่อพระปิ่นทองผ่านมา นางแก้วก็ไปอาบน้ำที่ท่า
พระปิ่นทองเห็นเข้าเกิดหลงรัก และไปเกี้ยวพาราณสี จนได้นางแก้วเป็นเมีย
ต่อมานางแก้วตั้งครรภ์
พระปิ่นทองต้องการกลับกรุงมิถิลาและได้มอบแหวนให้นางแก้วเพื่อยืนยันว่าเด็กในท้องนางแก้วเป็นลูกของพระปิ่นทองจริง
ขณะเดินทางกลับกรุงมิถิลา ระหว่างอยู่ในทะเลย เรือสำเภาของพระปิ่นทองถูกมรสุมพัดเข้าไปในถิ่นยักษ์
เมื่อนางแก้วคลอดบุตรชายชื่อว่า “ปิ่นแก้ว” ก็คิดจะพาลูกกลับไปหาพระปิ่นทอง โดยได้แวะไปลาพระฤาษี
พระฤาษีบอกนางแก้วว่า พระปิ่นทองอยู่ในอันตราย
นางแก้วฝากลูกไว้กับพระฤาษีแล้วแปลงร่างเป็นผู้ชายขึ้นเรือเหาะไปรบกับท้าวพาลราช
เจ้าเมืองยักษ์ จนได้รับชัยชนะ นางแก้วในร่างชายหนุ่ม
จึงเชิญพระปิ่นทองให้ครองเมืองยักษ์ และตนขอเพียงนางสร้อยสุวรรณ
ธิดายักษ์ที่อายุเพียง 15 พรรษา และนางจันทา
ธิดายักษ์องค์เล็กวัย 14 พรรษาไปเป็นชายา
นางแก้วพาสองธิดายักษ์ไปหาพระฤาษีแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมถอดรูปให้ดู
สองธิดายักษ์รับปากว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
นางแก้วจึงพาสองธิดายักษ์มามอบให้พระปิ่นทอง
ต่อมาพระปิ่นทองเดินทางกลับเมืองมิถิลาพร้อมกับสองธิดายักษ์
นางแก้วได้พาลูกกลับมาเฝ้า พระปิ่นทอง ท้าวภูวดล พระนางนันทา
นางสร้อยสุวรรณ และนางจันทา
พร้อมกับกราบทูลว่าพระปิ่นแก้วเป็นพระโอรสของพระปิ่นทองกับนางแก้ว
พระปิ่นอนงกับท้าวภูวดลไม่เชื่อ
นางแก้วเลยมอบแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบให้ในร่างนางมณีรัตนา
นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาช่วยกันเลี้ยงดูพระปิ่นแก้ว แถมยกมือไหว้นางแก้ว
พระปิ่นทองสงสัยว่าไปมีลูกกับนางแก้วได้ตั้งแต่เมื่อไร่
เจ้าหญิงทัศมาลีคิดถึงพระปิ่นทองก็เดินทางมาหาพระปิ่นทอง
เมื่อเดินทางมาพบพระปิ่นทองแล้วเกิดการหึงหวงกับนางสร้อยสุวรรณและนางจันทาสองธิดายักษ์
จนมีเรื่องทะเลาะวิวาท โดยนางแก้วเข้าช่วยเหลือ นางทัศมาลีเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงหนีกลับเมือง
ต่อมาเจ้าหญิงทัศมาลีได้ให้กำเนิดพระโอรส ตั้งชื่อว่า “เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย”
ท้าวกายมาต ผู้ครองนครไกรจักร
เป็นญาติของท้าวพาลราชซึ่งถูกแก้วสังหาร และนางสร้อยสุวรรณ กับ นางจันทา
กลายเป็นชายาของพระปิ่นทอง ก็เกิดแค้นใจ ยกทัพมาที่เมืองมิถิลา
พระปิ่นทองไม่ชำนาญการรบ
นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาแนะว่าให้ไปขอความช่วยเหลือจากนางแก้วหน้าม้า
พร้อมบอกใบ้ให้รู้ความจริง
พระปิ่นทองรีบไปง้อขอคืนดีกับนางแก้ว
นางแก้วยอมช่วยเพราะเห็นแก่พระนางนันทา
โดยแปลงร่างเป็นชายหนุ่มถืออีโต้ไปเฝ้าพระปิ่นทองโดยบอกว่าพี่แก้วให้มาช่วย
นางแก้วไม่สามารถทำอะไรท้าวประกายมาตได้ เพราะท้าวประกายมาตมีฤทธิ์รักษาแผลได้
นางแก้วจึงขี่เรือเหาะข้ามศีรษะท้าวประกายมาต ทำให้มนต์เสื่อม จึงสามารถจัดการได้
พอชนะศึกแก้วในร่างของชายหนุ่มขอลากลับทันที
พระปิ่นทองจึงมั่นใจว่าต้องเป็นนางแก้วแน่นอน จึงตามไปหาที่ห้องกล่าวง้องอน
นางแก้วหน้าม้าก็ทำเป็นเล่นตัว พระปิ่นทองแกล้งทำทีเชือดคอตาย
นางแก้วจึงยอมใจอ่อนถอดหน้าม้าออก เมื่อความทราบถึงท้าวภูวดลและนางนันทา
ก็ดีพระทัย จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางแก้วเป็นมเหสีของปิ่นทองอย่างเอิกเกริก
พร้อมทั้งกับนางแก้วได้ชื่อใหม่ว่า “นางมณีรัตนา” นางแก้วจึงให้คนไปรับพ่อกับแม่มาลี้ยงดูอย่างมีความสุขในวัง
ต่อมาไม่นานนางแก้วก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แล้วได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ตัวละครในเรื่องแก้วหน้าม้า
แก้วหน้าม้า ขณะที่หน้าเป็นม้าอยู่
นิสัยร่าเริง กระโดดกระเดกเป็นที่รักของทุกคน ยกเว้นพระปิ่นทอง กับ ท้าวภูวดล
-

มณี หรือ
แก้ว เมื่อถอดหน้าม้าออกแล้ว

ปิ่นทอง คอนข้างเอาแต่ใจ และเจ้าเลห์
เป็นบูตรชายของท้าวภูวดล

ท้าวภูวดล เป็นบิดาของปิ่นทองหน้าตาโหดเหี้ยม แกร่งใจเมียมากที่สุด

พระนางนันทา เป็นมารดาของปิ่นทอง ใจดีโอบอ้อมอารี
เป็นที่แกร่งใจของสามี

พระเจ้าตา เป็นฤาษีคอยช่วยเหลือแก้ว
เวลาว่างชอบเสกของวิเศษ

ของวิเศษที่พระฤาษีให้แก้วหน้าม้า
ผู้แต่งละครเรื่องแก้วหน้าม้า
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย"
ประวัติของผู้แต่งละครเรื่องแก้วหน้าม้า
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(พ.ศ. ๒๓๑๐- พ.ศ. ๒๓๖๗ ครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๖๗) รัชกาลที่ ๒ แห่งราชจักรีวงศ์
มีพระนามเต็ม "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี
ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์
องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์
สากลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ
ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์
ภูมิทรปรมาธิเบศ โลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร
พระพุทธเจ้าอยู่หัว" พระนามที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
นั้นเพิ่งถวายพระนามเรียกเมื่อรัชกาลที่ ๓ (ซึ่งพระปรมาภิไธยที่จารึกในพระ
สุพรรณบัฏ ของรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ จะเหมือนกันทุกตัวอักษร
เนื่องจากในเวลานั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะต้อง มีพระปรมาภิไธย
แตกต่างกันในแต่ละพระองค์ จนในรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติไว้ว่า
ในแต่ละรัชกาลจะต้องมีพระปรมา- ภิไธย แตกต่างกัน
เว้นแต่สร้อยพระปรมาภิไธยเท่านั้นที่อณุโลมให้ซ้ำกันได้บ้าง ส่วนคำนำหน้าพระนาม
รัชกาลที่ ๔ ก็ได้ทรงบัญญัติให้ ใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์
หรือปรเมนทร์" เป็นคำนำทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลำดับรัชกาลว่าจะเป็นเลขคี่หรือเลขคู่
เดิมทีเดียวคนสมัยก่อน มักเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่าแผ่นดินต้น และเรียกรัชกาลที่ ๒
ว่าแผ่นดินกลาง เหตุเพราะพระนามในพระสุพรรณบัฎเหมือนกัน รัชกาลที่ ๓ จึงไม่
โปรดให้ใช้ตามอย่างรัชกาลที่ ๑ และ ๒
เพราะเหตุเช่นนั้นจะทำให้ประชาชนสมัยนั้นเรียกว่าแผ่นดินปลาย ซึ่งดูไม่เป็นมงคล)
พระองค์มี พระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร)
พระราชสมภพ วันพุธ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน เวลาเช้า ๕ ยาม ตรงกับวันที่ ๒๔
กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๓๑๐ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๖ ปี พระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น ๗๓ พระองค์
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้าน กาพย์ กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า "ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด" กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรม- หมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์มี พระราชนิพนธ์ ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิม และทรงนำ มาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้ง เนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้งร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่นๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ คาวี มณีพิชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้าน กาพย์ กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า "ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด" กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรม- หมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์มี พระราชนิพนธ์ ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิม และทรงนำ มาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้ง เนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้งร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่นๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ คาวี มณีพิชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น